Sunday, 25 August 2013

สามเดือนกับประสบการณ์สุดยอดในซอกัง

I LOVE SOGANG U.



อันยองฮาเซโย..
วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่อยู่โซล หลังจากอยู่มาสามเดือนกว่าๆ
ยอรึมฮักกี หรือ เทอมฤดูร้อนก็จบลง คืนนี้กะจะไม่นอนละ เดี๋ยวพรุ่งนี้กลับไทยไฟลท์เช้า ขออกตัวก่อนว่าที่อัพเนี่ยมาจากความรู้สึกตัวเองล้วนๆ หรือ จากความเห็นเพื่อนที่ได้แชร์ความรู้สึกด้วย เราไม่รู้ว่าคนอื่นจะเจอแบบเดียวกันรึเปล่า ถือว่าเราเล่าให้ฟังจากที่เราสัมผัสละกันน้า ก่อนมานี่หลายคนลังเลกันป่ะ ว่าจะเรียนที่ไหนดี ที่นั่นก็ดี ที่นี่ก็ดี ตัดสินใจไม่ถูก ถามคนนี้ดี คนโน้นไม่ดี เออสรุปตรูจะไปไหนดีว่ะ (เราก็เป็นเหอะ) 

เรียน เอาง่ายๆ ใครอยากพูดมากๆ เรียนวันละสี่ชั่วโมง พูดระห่ำทั้งสามชั่วโมง เชิญค่ะ ซอกัง ที่ๆคุณคู่ควร ก่อนมาเรียนที่นี่พูดได้ไม่ได้ไม่รู้ แต่หลังจากจบกึบ 1 (กึบคือเลเวล) รับรองพูดได้ มากน้อยแล้วแต่ทักษะ มาเรียนซอกังจะลืมการเขินอายที่จะพูด ถูกผิดพูดไปเหอะค่ะ เพื่อนที่เขารู้ เขาก็จะช่วยแก้ให้ถ้าเกิดเราพูดผิด แกรมม่าก็ใช่ว่าจะไม่เรียนนะ แต่เรียนแกรมม่าโหดไม่เท่ายอนเซแน่นอน ยอนเซแกรมม่าเขาเป๊ะเวอร์ อาจจะน่าเบื่อ (เพื่อนย้ายจากยอนเซกระซิบมา เบื่อมาก) แต่เรียนซอกังบอกเลย สนุกสนาน เฮฮา ซอนแซงนิมใจดี กึบ 1 มีเกมส์ให้ทุกวัน แล้วเราก็จะจำได้จากเกมส์ที่เราเล่นนั้นแหละ กึบสูงขึ้นเรื่อยๆ เกมส์ก็จะลดลงไปตามสมคสร นี่ไม่ได้อวยนะคะ ไม่ได้อวย เรียนอาทิตย์ละ 5 วัน วันละ 4 ชั่วโมง ไม่เบื่อเลย 

เพื่อน เราเจอเพื่อนน่ารัก นิสัยดี อายุคละกันไป หลากชาติ หลากภาษามาก มีตั้งแต่ ญี่ปุ่น (เยอะสุด) เมกา ออสเตรีย เกาหลี รัสเซีย ฮ่องกง ออสเตรเลีย คือเอาจริงป่ะ นี่เป็นครั้งแรกอ่ะที่มีเพื่อนนานาชาติขนาดนี้ โดยเฉพาะญี่ปุ่นนี่พวกนางน่ารักสุดๆอ่ะ นิสัยเฟรนลี่ที่สุดในห้าโลก เอาใจพี่ไปเลย อย่ากลัวที่จะมาคนเดียว อย่ากลัวที่จะใช้ชีวิตคนเดียว อย่ากลัวว่ามาไปเรียนคนเดียวจะไม่มีเพื่อน เพราะไปวันแรกก็มีเพื่อนแล้วค่ะ ของเราทั้งสามเดือนนี่ไปกินข้าว ปิคนิค แฮงค์เอาท์ ด้วยกันตลอด ทำให้ตอนบอกลากันนี่ถึงกับดราม่าเบาๆกันเลยทีเดียว มันเป็นมิตรภาพใหม่ที่น่าจดจำสุด มาเรียนที่นี่ได้ทั้งภาษา ได้ทั้งเพื่อน ได้แชร์ความรู้ต่างๆกับเพื่อน ไม่ได้พูดภาษาไทยเลย คือครบรสมาก ถามว่ามีเพื่อนคนไทยมั้ย เรามีคนนึงนะ รู้จักกันเพราะอยู่โคชีวอนเดียวกัน นางก็น่ารักมาก มาเริ่มคุยกันเยอะขึ้น เริ่มจะสนิทกันช่วงหลังตอนเราจะกลับไทย (เศร้าจัง) ต้องขอบคุณนะคะที่ทำให้ยังสามารถมีคนคุยภาษาไทยด้วย ไม่งั้นเหงาปากแย่ และขอบคุณน้าพี่อ้อที่ดีกับน้องมากๆ ขอบคุณที่เลี้ยงส่งด้วย

ติ่ง อย่ามาร้องอี๋ พร้อมทำปากสระอิใส่ฉัน หยุดบอกเลย ฉันชอบ ฉันรักของฉัน เพราะฉะนั้นใครเป็นติ่งแบบเราอ่านต้องอ่าน อยากเจอคนที่คุณรักต้องดูตารางงานของนางกันไว้ให้ดี ว่าที่ไหนสามารถไปได้บ้าง แล้วคุณจะได้รับความฟินแบบสุขอุรา ในใจบางเบา หรือ สุดๆแล้วแต่สถานการณ์ ยิ่งใครมาถูกช่วงตอนวงตัวเองคัมแบคนะ โอ้ยยยยยยยย ฟิน!

กิน เที่ยว เล่น เอาให้สุด อยากไปไหนไป อยากกินไรกิน อยากทำไรทำ แต่ละคนควรรู้นะว่าตัวเองสุดได้แค่ไหน ควรรู้ตัวเอง อยู่ในกรอบของตัวเอง ชอบไปคลับไปได้ แต่ต้องระวังตัวเอง คลับที่นี่จะค่อนข้างต่างกับไทยในเรื่องผู้ชาย มาคลับเกาหลีต้องระวังตัวเอง ผู้ชายในคลับที่นี่ไม่สุภาพค่ะ บอกเลย เที่ยวได้ ต้องเรียนได้ อันนี้สำคัญ

ประเด็นเอาเป็นว่าอย่าลังเลที่จะมาหาประสบการณ์ที่น่าจบจำ ที่ไม่ใช่แค่ความรู้ แต่เรารับรองว่าต้องได้อะไรมากกว่านั้นแน่นอน และมานี่อย่าเก็บตัวอยู่แต่ในห้องนะคะ ออกไปหากิจกรรมทำกับเพื่อนใช้เวลาร่วมกัน เพราะมันเป็นการฝึกภาษาของกันและกัน อย่ากลัวว่าไม่มีเรื่องจะพูด ถึงเวลามันมีเอง เชื่อจิ มากี่เทอมใช้ไปเลยค่ะ เวลาอย่าอยู่เฉย โดยเฉพาะวันศุกร์ (พูลกึม) นี่จัดให้หนักค่ะ จะแดนซ์ จะเช้าเอาให้เต็มที่ค่ะ "Study Hard Play Hard" ถ้ามีเพื่อนเกาหลีด้วยนี่จะเลิศเลอเพอร์เฟคมาก ภาษาก็จะไปเร็วมาก ลองมาดูค่ะ บอกตรงๆนะ อารมณ์ยังไม่อยากกลับเลยแม้แต่น้อย แต่เก๊าต้องกลับไปทำงานแล้ว ฮืออออออออ :(( ขอให้สนุกนะคะ



ขอบคุณสำหรับสามเดือนกับมิตรภาพใหม่ในซอกัง





Saturday, 17 August 2013

Alien Card เกาหลี

Alien Card หรือบัตรต่างด้าว
Alien Card เปรียบเหมือนบัตรประจำตัวของเรา เหมือนตอนอยู่ไทย
เรามีบัตรประชาชนกันใช่มะ แต่นี่เรามาอยู่เกาหลี และเราอยู่เกิน 90 วัน
เราต้องมีบัตรนี้ค่ะ เพราะมันจะทำให้เราใช้โทรศัพท์แบบรายเดือนได้ ซื้อโทรศัพท์ได้
การเปิดบัญชีธนาคารกับเปิดเบอร์แบบเติมเงิน เดี๋ยวนี้ไม่ต้องมีบัตรเอเลี่ยนก็เปิดได้แล้ว แค่มีพาสปอร์ต

ขั้นตอนการสมัครบัตรเอเลี่ยน

  • เลือกตม.ใกล้บ้าน ถ้าเรียนซอกัง ยอนเซ อีแด ฮงอิก และอาศัยอยู่ระแวกนี้ ให้ไปทำที่ Omogyo
  • กดบัตรคิว
  • กรอกใบรายละเอียดลงในแบบฟอร์ม รูปถ่าย 2 นิ้วพื้นขาว สำเนาพาสปอร์ต
  • ยื่นเอกสาร
  • เจ้าหน้าที่จะแจ้งวันมารับบัตร

เอกสารจำเป็นต้องใช้
  • ใบตอบรับจากที่เรียน ใบเสร็จค่าเทอม ซึ่งทางที่เรียนจะเป็นคนออกให้
  • สำเนาพาสปอร์ต
  • รูปถ่าย 2 นิ้วพื้นขาว
  • ค่าธรรมเนียม 10,000 วอน (อาจมีการเปลี่ยนแปลง)

การเดินทาง

Subway (รถไฟใต้ดิน) สถานี Omogyo ทางออก 7 (ไลน์ 5 สีม่วง)
เดินไปตามทางเรื่อยๆ ไม่ไกล แต่ก็ไม่ใกล้ เดินจนเจอ 3 แยก
ให้ข้ามถนนไป จะสามารถมองเห็นตึก immigration เลยค่ะ


Immigration คือตึกที่ต้นไม้บังอยู่นั้นแหละค่ะ


เวลาเปิด-ปิด
จันทร์ ถึง ศุกร์ 9.00 - 18.00 น. ปิด เสาร์ อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์


ขอบอก อยากบอก!!

ถ้ามีเวลาก็รีบไปนะคะ เพราะคนเยอะตลอด ต้องรอคิวนาน แต่ถ้าไปติดบ่ายสาม บ่ายสี่โมงเย็น แนะนำนะคะ ว่าให้นั่งรอจนถึงคิวเรา เพราะถึงแม้จะล่วงเลยเวลา 6 โมงเย็นแล้ว ที่ตม.ยังใจดีรับเรื่องให้อยู่ค่ะ ไม่ว่าจะทำบัตรเอเลี่ยน ต่อวีซ่า ทั้งหลาย อึดใจสู้กับคิวอันแสนนาน บางทีคุณอาจจะโชคดีไปแล้วคนน้อยก็ได้ใครจะรู้ และใครที่กังวลเรื่องรูปถ่าย สำเนาเอกสารไม่มี บริเวณชั้น 2 มีร้านถ่ายเอกสาร ตู้ถ่ายรูปอัตโนมัติ ธนาคาร และ atm ให้บริการค่ะ


ใครสงสัยหรืออยากสอบถามอะไร ถามได้นะคะ หากเรารู้ เรายินดีตอบค่ะ

Wednesday, 31 July 2013

Goshiwon โคชีวอน Goshitel โคชีเทลเกาหลี

อะไรเอ่ยมีไว้ซุกหัวนอน?
ปิ๊งป่อง! บ้านนั่นเอง เอาละทีนี้ละจะเกิดคำถามมากมาย เช่น
"ฉันจะต้องไปอยู่ที่ไหน"
"ฉันจะต้องหาจากไหน"
"ฉันจะต้องทำยังไง"
ไปเรียนอยู่เกาหลีคนเดียว จัดการเองคนเดียว อิสระ สะดวก ไม่แพง ที่สำคัญง่ายต่อจัดการ การอยู่อาศัยในประเทศเกาหลีนั้น เป็นที่รู้กันว่าค่าครองชีพของประเทศเขาสูงกว่าบ้านเรา บ้าน คอนโด อพาร์ทเม้นท์ แน่นอนว่าราคาสูง แต่ที่พักราคานักศึกษาอย่างพวกเราก็ใช่ว่าจะไม่มีนะคะ ไม่ต้องกังวลมีแน่นอน ซึ่งคนเกาหลีเรียกที่อยู่แบบนี้ว่า โคชีวอนหรือโคชีเทล และอีกประเภทคือ ฮาซุกจิบ*

ข้อจำกัดของโคชีวอน คือ พื้นที่ใช้สอย ซึ่งมันเล็กจนน่าตกใจ คนไทยจะคุ้นอยู่กับการอยู่ห้องใหญ่ คอนโดในกรุงเทพหลายคนอาจจะรู้สึกว่าแคบแล้ว โดยเฉพาะผู้ใหญ่จะไม่ชอบอยู่คอนโด เพราะไม่มีบริเวณพื้นที่ให้ทำกิจกรรมต่างๆได้มากนัก แต่ที่เกาหลีนั้นโคชีวอนเล็กและแคบกว่าคอนโดเยอะค่ะ (แคบจนน่าตกใจ) โคชีวอนมีราคาไม่แพง ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ราคา 380,000 - 600,000 วอนต่อเดือน ค่าห้องเช่ารวมค่าน้ำค่าไฟไปในแต่ละเดือน ไม่มีเก็บเพิ่ม ไม่มีค่าประกันห้องเช่า และอยู่ได้ 1 ห้องต่อ 1 คนเท่านั้น ใครกังวลความปลอดภัย ลองหาที่มีเฉพาะผู้หญิงนะคะ
  • ภายในโคชีวอนจะมีห้องครัวใช้รวม จะมีข้าว กิมจิ น้ำร้อน-เย็น ที่ปิ้งขนมปัง ไมโครเวฟ ไม้กวาด เครื่องดูดฝุ่น ห้องน้ำ ห้องสุขา ห้องซักผ้า ที่รีดผ้า ตู้เก็บรองเท้า 
  • ภายในห้องประกอบด้วย TV. Wi-Fi ตู้เย็น เตียง โต๊ะเขียนหนังสือ เก้าอี้ ตู้เสื้อผ้า แอร์ ฮีทเตอร์ ห้องน้ำ (ภายในห้องที่มีห้องน้ำจะมีราคาสูงกว่าห้องธรรมดา)

ก่อนจะหาที่อยู่เราต้องรู้ก่อนว่าเราจะเรียนที่ไหน จะอยู่แถวไหน เมื่อเรารู้แล้วลองดูจากเวปเหล่านี้นะคะ
จะมีให้เลือกว่าเราต้องการอยู่แถวไหน เขาจะโชว์ที่อยู่ละแวกนั้นค่ะ
  • http://www.habang.co.kr/en ภาษาเกาหลี ภาษาอังกฤษ มีแผนที่ มีราคา มีโฮมเพจของที่อยู่
  • http://goshipages.com/ ภาษาเกาหลี ภาษาอังกฤษ
  • http://gosi1.net/ ภาษาเกาหลี (ลองใช้ google translate)
ลองสังเกตดูนะคะ จะมีโฮมเพจของที่อยู่ ให้เข้าไปดูรายละเอียดในห้หน้าโฮมเพจของเขา หากสนใจอยากสอบถามสามารถเข้าไปตั้งกระทู้ถามตอบของเขาได้เลยค่ะ ว่าราคาเท่าไหร่ อยากเข้าอยู่วันไหน ห้องว่างมั้ย จะต้องจองยังไง ไม่ค่ามัดจำอะไรรึเปล่า

หรืออีกวิธีคือ ถ้าสามารถคุยภาษาเกาหลีได้บ้าง มีเพื่อนที่นี่ ลองชวนเพื่อลองมาเดินหาดูก่อนก็ได้ค่ะ ว่าชอบแบบไหน ชอบแถวไหน จะได้อยู่ที่ที่ถูกใจ เพราะที่เกาหลีเดินทางสะดวกอยู่แล้ว ยิ่งแถวมหาลัยนี่มีเยอะเลยค่ะ

สำหรับใครที่เห็นรูปในเวปไซต์ของเขาแล้ว อย่าไปคิดว่ามันจะเหมือน 100% นะคะ เพราะมันอาจจะเก่าลงไปบ้าง แคบกว่าในรูปบ้าง รูปแบบห้องจะแตกต่างกันไปในแต่ละห้อง ซึ่งเขาไม่ได้ถ่ายรูปทุกห้องแล้วลงในเวปไซต์นะคะ เราเลยเอารูปจากห้องเรามาให้เปรียบเทียบให้ดู เผื่อพอจะนึกออกกันบ้างเนอะ
โฮมเพจ  http://sk.sollivingtel.co.kr/

รูปนี้ถ่ายจากประตูห้อง


ตู้เสื้อผ้า


ห้องน้ำภายในห้อง


ห้องน้ำ


TVสามารถเชื่อมต่อหน้าจอเป็นคอมฯได้ และจุดสีแดงคือระบบเตือนไฟไหม้


โต๊ะเครื่องหนังสือ เก้าอี้ ด้านบนเป็นชั้นตู้เก็บของและชั้นวางของ ใต้โต๊ะเป็นตู้เย็น


พื้นที่ว่าง (เชื่อรึยังว่าโคตรแคบ หึหึ)


เตียงนอน (ประมาณ 3 ฟุต)


สุดท้ายตอกย้ำความเล็ก ความแคบ คิคิ


แคบ เล็ก ก็จริงแต่ใช่ว่าจะไม่มีความสุขนะคะ เรื่องแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาในการใช้ชีวิตแน่นอนค่ะ เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกมีครบครัน ดีซะอีกไม่ต้องทำความสะอาดให้วุ่นวาย (ขี้เกียจทำอะตั๊วว) ไม่ได้ลำบากเลยค่ะ ที่สำคัญต้องหาที่ปลอดภัยนะคะ จะได้อยู่แบบสบาย อุ่นใจ ไร้กังวล เอาละนึกภาพออกกันละชิมิละว่าเป็นไง ลองเอาไปใช้ตัดสินใจดูนะคะ สงสัยอะไรยังไงถามได้คร้าบบบบ ^^


Monday, 24 June 2013

ขอ visa นักเรียนเกาหลี

PART2 ขั้นตอนการขอ Visa นักเรียนเกาหลี


หลายคนคงจะทราบแล้วว่าคนไทยจะไปเกาหลีใต้นั้นไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า
และสามารถอยู่ได้ในประเทศเกาหลีใต้ได้ไม่เกิน 90 วัน (เที่ยวเพลิ๊นนนน)
แต่พาร์ทนี้เราจะพูดถึงในกรณีที่เราจะไปเรียนภาษาเกาหลีและต้องการอยู่เกิน 90 วัน
เรียกได้ว่าวีซ่าจำเป็นสุดๆ ดังนั้นเราควรไปเตรียมเอกสารกันเลยค่ะ



วีซ่าสำหรับผู้ที่เรียนภาษาเกาหลี (D-4)



เอกสารที่ต้องยื่น


  1. พาสปอร์ต และสำเนา 1 ชุด
  2. หนังสือรับรองความเป็นนักเรียนหรือหนังสือรับรองจบการศึกษา และทรานสคริปท์
  3. หนังสือรับรองการทำงานของผู้ปกครอง (ระบุตำแหน่งและเงินเดือน) และหนังสือรับรองจดทะเบียนบริษัท(ในกรณีที่ผู้ปกครองเป็นเจ้าของกิจการ)
  4. สำเนาพาสปอร์ตหรือสำเนาบัตรประชาชนของผู้ปกครอง
  5. สำเนาทะเบียนบ้านของนักเรียน
  6. หนังสือรับรองบัญชีเงินฝากของผู้ปกครอง (ต้องออกโดยธนาคาร) ในกรณีที่ผู้ปกครองเป็นสปอนเซอร์
  7. หนังสือตอบรับจากมหาวิทยาลัยที่ประเทศเกาหลี
  8. รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว 1 รูป
  9. แบบฟอร์มขอวีซ่า*
สถานทูตฯ อาจขอเอกสารเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของผู้ยื่นขอวีซ่า
หากต้องการดูรายละเอียดวีซ่าประเภทอื่นเข้าไปดูตามลิงค์เลยค่ะ >> วีซ่าทุกประเภท

*แบบฟอร์มขอวีซ่าสามารถไปกรอกได้ที่สถานทูต ไม่ต้องกังวลว่าจะกรอกไม่ถูกนะคะ เพราะในแบบฟอร์มมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษบอก แต่ถ้าใครอยากสะดวกในการกรอก เราแนะนำให้ลองไปโหลดแบบฟอร์มมาลองเขียนดูก่อนก็ดีค่ะ เพราะแบบฟอร์มเหมือนกัน จะต่างก็ตรงที่มีภาษาไทย ที่สำคัญสะดวก รวดเร็วตอนวันยื่นวีซ่านะคะ >> แบบฟอร์ม

อยากบอก


หากอยากได้วีซ่า D-4 (สามารถอยู่ในเกาหลีใต้ได้ 6 เดือน) ควรสมัครเรียน 2 เทอมขึ้นไป ถ้าสมัครไปทีละเทอม จะได้วีซ่าอีกประเภทที่อยู่ได้ 90 วัน แต่ฉันอยากเรียนต่อ ฉันรัก ฉันชอบ (โอป้า) ฉันยังไม่อยากกลับเมืองไทย ฉันจะทำยังไงดี?!? ยังไม่ต้องกรีดร้องนะคะ


อ้าว! ถ้าขอวีซ่าก็ 90 วัน ไม่ขอก็ 90 วัน ไหนๆก็ 90 วันเหมือนกัน แล้วมันต่างกันตรงไหน (ก็ตรงที่ฟังก์ชั่นเสริมนางล้ำกว่านิดนึง) เช่น

  • สามารถนำหลักฐานการสมัครเรียนในเทอมถัดไป แล้วไปขอต่อวีซ่าที่ประเทศเกาหลีใต้ได้เลย เพราะหากไปแบบไม่ขอวีซ่าเมื่อครบกำหนดแล้ว ถึงอยากเรียนต่อยังไง จะรักโอป้ายัง ก็ต้องกลับออกจากประเทศเขา แล้วกลับเข้าไปยังประเทศเกาหลีใต้ใหม่ไงค่ะ
  • สามารถไปลงทะเบียน Alien Card (บัตรต่างด้าว) เพื่อนำไปใช้เปิดบัญชีธนาคาร โทรศัพท์ บลาๆสรุปบัตรต่างด้าวเปรียดั่งบัตรประจำตัวเรานั่นเอง
สำหรับคนไทยไม่มีค่าธรรมเนียมการทำวีซ่า ส่วนการสัมภาษณ์นั้น แล้วแต่คนจริงๆค่ะ อย่างเราไม่ได้สัมภาษณ์หรือโดนถามอะไรเลย :)  


โปรดอ่านคำแนะนำสักนิด

  • สำหรับใครที่ตั้งใจแล้วว่าจะเรียน 2 เทอมขึ้นไป เราแนะนำให้สมัครตามจำนวนที่ต้องการไปทีเดียวไปเลยนะคะ เพราะตอนขอวีซ่าจากไทยจะได้ง่ายต่อการขอ และง่ายต่อการมาทำบัตรเอเลี่ยนที่เกาหลี เพราะถ้าทำที่ไทยสมัครต่อให้สมัครกี่เทอมก็ใช้เอกสารดังข้างต้นเพียงแค่ 1 ชุดเท่านั้น ทำที่ไทยให้เรียบร้อยไปเลยค่ะ ยังไงที่ไทยก็สะดวกกว่าเยอะค่ะ

ข้อเสียของการสมัครทีละเทอม (กรณีมาขอต่อวีซ่าที่เกาหลี)

  • ถ้าสมัครทีละเทอม อย่างที่บอกจะได้วีซ่าแบบ 90 วันมา แต่หากต้องการเรียนต่อนั้น เอกสารก็ต้องใช้ชุดใหม่ เหมือนครั้งแรกที่ขอวีซ่าที่ไทยเลยค่ะ หากคิดจะต่อวีซ่าที่เกาหลี ควรเตรียมเอกสารไปอีกชุดนึงด้วยนะคะ แต่จะต่างก็ตรงที่ ใบรับรองทางการเงินนั้น จะต้องเป็นบัญชีของเราที่เป็นธนาคารเกาหลีไม่น้อยกว่า 3,000,000 วอน เอกสารทั้งหมดนี้ยื่นพร้อมกับเอกสารสถานที่ที่เราเรียนว่าเราได้สมัครเทอมต่อไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมค่าใช้จ่ายในการต่อวีซ่า และสุดท้ายตม.จะพิจารณาว่าวีซ่าเราจะผ่านหรือไม่



เวลาทำการ

เวลายื่นขอวีซ่า 8:30-10:30 น.
เวลารับวีซ่า 13.30-16.00 น. (เวลาอาจขึ้นอยู่กับสถานทูตบอกให้มารับนะคะ)
อย่าลืม! กดบัตรคิวนะคะ ในการยื่นหรือรับวีซ่านั้นใช้เวลาไม่นานค่ะ

สถานทูตเกาหลีใต้อยู่ไหน?

23 ถนนเทียมร่วมมิตร รัชดาภิเษก ห้วยขวาง กรุงเทพ 10320
โทร. 02-247-7537-39, 02-247-7540-41

การเดินทาง

แบบประหยัด

  • MRT ลงสถานีศูนย์วัฒนธรรม ทางออก 1 เลี้ยวขวาตรงไปตามทาง จะเจอสะพานลอยให้เดินขึ้นสะพานลอยเพื่อไปยังฝั่งถ.เทียมร่วมมิตร (ดูตามแผนที่ จุดสีเขียวคือสะพานลอย) สถานทูตจะอยู่ติดกับสยามนิรมิต


แบบสะดวก
  • TAXI โลดเลยค่ะ (ถนนเส้นนั้นเป็นถนน one-way นะคะ)


การยื่นขอวีซ่าไม่มีอะไรยุ่งยากเลย แต่ต้องเตรียมเอกสารทั้งหมดให้ครบ อย่างของเราไม่ใช่วีซ่า D-4 นะคะ เพราะเราสมัครเรียนแค่เทอมเดียว แต่ขอวีซ่าเผื่อไว้หากต้องการต่อคอร์ส เลยสอบถามรายละเอียดต่างๆจากตม.เกาหลีมา หากต้องการต่อวีซ่าควรทำยังไง ก็ได้คำตอบตามที่เราบอกด้านบนนะคะ


Friday, 5 April 2013

How to สมัครเรียนภาษาเกาหลีด้วยตัวเอง

เคยไหม อยากไปเรียนภาษาเกาหลีที่ "เกาหลี" จัง

แอร้ยยยย จะทำยังไงดีๆ 
จะทำยังไงดี มีคนแนะนำว่าสามารถสมัครเรียนเองได้นิ
จะทำยังไงดี ไม่มั่นใจภาษาอังกฤษเลย
จะทำยังไงดี มันจะวุ่นวายไหมน้า (ถอนหายใจ)
จะทำยังไงดี สมัครกับเอเจนซี่สะดวกดี แต่แพงจัง.. .

ส่วนใหญ่(ตัวเรา)จะเกิดคำถามสไตล์นี้ก่อนไปเรียนแน่นอน
บอกเลยว่าที่เราเขียนขึ้นมันเกิดกับตัวเราทั้งสิ้น ก่อนตัดสินใจสมัครที่ไหน ต้องเข้าไปอ่านรายละเอียด รูปแบบการเรียน การสอนของแต่ละที่ก่อน ว่ามันเป็นยังไง ชอบมะ ซึ่งแต่ละคนชอบต่างกัน ไปหาความต้องการของตัวคุณให้เจอว่าชอบการเรียนแบบ อย่างเราอยากพูดเก่งๆ เราเลยตัดสินใจ เรียนมันที่นี่แหละ Sogang University เพราะที่นี่เน้นพูดยังไงละฮ่ะ เราเลยจะแนะนำและบอกขั้นตอนต่างๆ จนถึงเอกสารที่ต้องใช้ ต้องขอบอกก่อนว่าขั้นตอนการสมัครนี้ จะเป็นของ Sogang University นะ เพราะเราสมัครที่นี่ไป แต่เราเชื่อว่าอย่างน้อยมันต้องดัดแปลงไปใช้กับมหาลัยอื่นในเกาหลีได้บ้างแหละ มันต้องมีแอบคล้ายกันบ้างละน่า(เนอะ) เอาละๆ เราขอแบ่งเป็นส่วนๆ ดังนี้ ขั้นตอนการสมัครเรียน,ขั้นการทำวีซ่านักเรียน,ขั้นตอนการจองห้องพัก

ตามมาๆ
...
..
.


How to ขั้นตอนการสมัคร 

1.เปิดเวปไซต์ มหาลัยที่เราต้องการสมัคร (ของเราจะเป็น Sogang U.)


2.เลือกโปรแกรมที่เราต้องการจะเรียน


3.หน้านี้จะเจอรายละเอียดต่างๆ 
  • โปรดอ่าน โปรดศึกษารายละเอียดคอร์สเรียน สไตล์การเรียน 
  • ตารางการเรียน วันที่เริ่มสมัคร และสิ้นสุดการรับสมัคร ระยะเวลาของคอร์สเรียน ของแต่ละเทอม 




4.ขั้นตอนการสมัคร ( เลือก Application )
ในหน้านี้จะบอกขั้นตอนการสมัคร ตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงทดสอบการวัดระดับก่อนเข้าเรียน
ค่าเทอมแต่ะลคอร์สนั้นแตกต่างกันออกไป และจะมีค่าหนังสือซึ่งไม่รวมกับค่าเทอม
หากตกลงปลงใจแล้วว่าฉันเอามหา'ลัยนี้แน่นอน ไปเตรียมไฟล์เอกสารดังนี้เลยค่ะ 
  • ไฟล์รูปถ่าย
  • สำเนา Passport
  • ไฟล์หนังสือรับรองจบการศึกษา (ในกรณีจบม.6 หรือ จบมหาวิทยาลัย) หากยังเป็นนักศึกษาอยู่ให้ใช้หนังสือรับรองการเป็นนักศึกษา หรือ ทรานสคริป เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น




5.กรอกใบสมัคร (ควรเตรียมเอกสารในข้อที่ 4 ให้ครบก่อนน้า) 
การกรอกใบสมัครสามารถทำได้ 4 วิธี
  • สมัครผ่านทางเวปไซต์ โดยจิ้มตรงคำว่า Application
  • สมัครโดยการส่งผ่าน E-mail (โหลดใบสมัคร>กรอกใบสมัคร>ส่งไป ckss@sogang.ac.kr)
  • สมัครโดยตรงที่มหา'ลัย
  • สมัครโดยการส่ง Fax (โหลดใบสมัคร>กรอกใบสมัคร>ส่งแฟกซ์ไป (82-2) 701-6692
แนะนำ ควรใส่ข้อมูลและรายละเอียดทุกอย่างที่เขาต้องการให้ครบนะคะ ทุกคำตอบเป็นประโยชน์สำหรับตัวเราเอง ที่อยู่ต้องเป็นที่อยู่ปัจจุบันที่สามารถติดต่อได้ เพื่อใช้สำหรับรับใบรับรอง ใบสมัครต่างๆที่ทางมหา'ลัยจะจัดส่งมาให้ทางไปรษณีย์ค่ะ

แนะนำว่าสมัครผ่านเวปไซต์ สะดวกที่สุดจ้า


กรอกข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้วจิ้ม Submit โลดค่ะ เป็นอันว่าเรียบร้อย

ขั้นตอนหลังส่งใบสมัคร
  • รอคะรอ.. . รอให้ทางมหา'ลัยตอบกลับมา
  • ทางมหา'ลัยอาจจะส่ง E-mail มาขอให้ส่งหลักฐานทางการเงิน (Statement ไม่น้อย3000 USD) ซึ่งสามารถขอได้จากธนาคารนะคะ จะเป็นบัญชีของเราเอง หรือของผู้ปกครองก็ได้ค่ะ
  • หลังจากส่งไปแล้ว จะมีการส่ง E-mail ยืนยันตอบรับเราเข้าเรียน โดยให้เราโอนเงินค่าเทอม
  • ส่งไฟล์ใบโอนเงินไปให้ทางมหา'ลัย
  • เมื่อมหา'ลัยได้รับยอดเงินแล้วจะตอบกลับมา เป็นอันว่าการสมัครเรียนของเราเสร็จสิ้น สมบูรณ์ เรียบร้อย และทางมหา'ลัยจะส่งหลักฐานการสมัคร  ใบรับรองการรับสมัคร และใบเสร็จรับเงิน มาให้ทางไปรษณีย์ไม่เกิน 10วันคะ (เอกสารนี้เป็นประโยชน์สำหรับการขอวีซ่านักเรียน) 
  • ทางมหา'ลัยจะส่ง E-mail ตารางวัน เวลามาให้เราเลือกวันที่ต้องการไปทดสอบวัดระดับ  และที่พิเศษสำหรับชาวต่างชาติ คือ เราสามารถสอบสัมภาษณ์ ผ่านทางโทรศัพท์ได้ด้วยนะเออ(พิเศษจริง บอกเลย) อย่าลืมตอบ E-mail กลับไปเลือกรูปแบบการทดสอบ และจองคิวเลือกวัน เวลาด้วยนะคะ
  • ได้รับการยืนยันจากทางมหา'ลัย
เท่านี้ถือว่าการสมัครเรียบร้อยแล้วละ ขั้นตอนอาจจะดูเยอะแยะ วุ่นวายไปซะหมด แต่บอกเลยว่ามันไม่ยาก หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกช้าๆ ค่อยๆอ่าน ค่อยๆพิมพ์ ไม่ต้องรีบร้อนนะคู๊ณ อันไหนไม่ได้ถามเราได้เลย จะทาง Comment,E-mail เรายินดีตอบทุกคำถาม (ที่ฉันรู้) ที่คุณอยากรู้นะฮ่ะ แต่ถ้าถามแล้วตอบช้า ไม่ทันใจเราขอให้คุณหันหน้าเข้าจอ แล้วคุยกับ Google translate ไปก่อน นางช่วยได้ เชื่อดาวสิ จบละ (งงมะ)

โปรดติดตามการยื่นขอวีซ่าในตอนหน้านะฮ่ะ XX

Monday, 7 January 2013

Great 2013

HAPPY NEW YEAR 2013
สวัสดีปีใหม่
새해 복 많이 받으세요

ผ่านไปเจ็ดวัน ยังทันที่จะพูดคำนี้สินะ แฮ่..จริงๆปีใหม่ที่ผ่านมาได้หยุดงานสี่วัน แต่ตระเวนรอบกรุงเลยทีเดียว คือไปมาเยอะมาก แต่ไหนๆก็ปีใหม่แล้ว สถานที่ที่เป็นมงคล ก็ต้องนี่เลย วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือเรียกอีกชื่อว่า"วัดพระแก้ว"นั่นเอง ไปช่วงปีใหม่เหมือนถูกรางวัลที่หนึ่ง คนแน่น เบียดเสียด ร้อน ครบสูตรเลยจ้า ในใจท่องไว้ว่าเอาน่านานๆที พร่ำพอเป็นกษัยละ อยากอวดรูปบริเวณโดยรอบวัดพระแก้วกันแล้ว แต่ขอไม่เอารูปปลากระป๋องนานาชาติมาโชว์นะเออ แต่ดีใจนะที่เห็นคนต่างชาติมาเมืองไทยเราเยอะมว๊ากก คิคิ เอาละไปดูกันละ ยังไงก็มีความสุขในปีมะเส็งนะคะ ^^

บริเวณหน้าวัดพระแก้ว

ประตูทางเข้าและทางออก

บริเวณนี้ห้ามผ่าน

บริเวณด้านใน

บริเวณด้านในที่งดงาม

ยักษ์ทวารบาล(จริงๆยืนคู่กัน)

รูปสุดท้าย

*ค่าเข้าชมสำหรับคนไทย ฟรี นะคะ
*ค่าเข้าชมสำหรับต่างชาติ 400 บาท จะมีหนังสือคู่มือให้ด้วย